AI คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร ทำความเข้าใจ AI ง่าย ๆ ในยุคดิจิทัล
AI คืออะไร ปัญญาประดิษฐ์ คืออะไร ทำความรู้จักเทคโนโลยีแห่งอนาคตแบบลึกซึ้ง อธิบายกระชับเข้าใจง่าย ฉบับมือใหม่ก็เข้าใจได้ ไขข้อสงสัยปัญญาประดิษฐ์ มีรูปแบบไหนบ้าง ประโยชน์ของ AI คืออะไร และ AI for Business มีอะไรบ้าง ถ้าจะนำมาประยุกต์ใช้ในองค์กร เพื่อวางรากฐานองค์กรแห่งอนาคต จะต้องเริ่มต้นอย่างไร แล้วจะป้องกัน Digital Disruption ได้อย่างไร SOLUTIONS IMPACT มีคำตอบให้ที่นี่
ความต้องการขององค์กรได้
AI คืออะไร? Artificial Intelligence คืออะไร
AI ย่อมาจาก Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์ ตามความนิยามของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ได้ระบุว่า ปัญญาประดิษฐ์ คือ เทคโนโลยีการสร้างความสามารถให้แก่เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ ด้วยอัลกอริทึมและกลุ่มเครื่องมือทางสถิติ เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ทรงปัญญา ที่สามารถเลียนแบบความสามารถของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้ เช่น จดจำ แยกแยะ ให้เหตุผล ตัดสินใจ คาดการณ์ สื่อสารกับมนุษย์ ในบางกรณีอาจไปถึงขั้นเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
หรือสรุปแบบง่าย ๆ ได้ว่า AI คือ การพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้สามารถเลียนแบบการทำงานได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น เพื่อช่วยให้มนุษย์ทำงานได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
ประโยชน์ของ AI ช่วยอำนวยความสะดวกมนุษย์ในด้านไหนบ้าง
มัดรวมประโยชน์ของ AI เทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนโลกอุตสาหกรรม ช่วยให้มนุษย์ทำงานง่ายขึ้นอย่างไร มีข้อดีอะไรบ้าง
AI ช่วยแก้ปัญหาซับซ้อน
- ด้วยปัญหาในการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน ซึ่งปัญหาบางอย่างต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาค่อนข้างมาก ในขณะที่ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence สามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการค้นหารูปแบบ ระบุข้อมูล และการให้คำตอบ เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด เช่น ใช้ AI ในการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติ เพื่อป้องกันการฉ้อโกง การวินิจฉัยโรคและวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ เป็นต้น โดยสามารถทำการศึกษาผ่านคอร์สเรียน Data Analytics, SQL เบื้องต้น และคอร์สเรียน Excel จากสถาบันหรือช่องทางต่าง ๆ ได้
ลดความผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์ (Human Error)
- อีกหนึ่งข้อดีสำคัญของ AI คือ การลดความผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์ เช่น ตัวอย่างเคสการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการตรวจจับร่องรอยชำรุดตามถนน ถ้าใช้มนุษย์นั่งดูจอคอมตลอดเวลา เพื่อหาจุดที่มีการเสียหาย เป็นไปได้ยากมากที่จะสามารถจับบริเวณที่เสียหายได้ครบ 100% เนื่องจาก ความเหนื่อยล้า ความเบื่อกับการทำอะไรเดิม ๆ
ในขณะที่ AI สามารถประมวลผลจากความกว้างของรอยร้าว ความลึก และตำแหน่ง และที่สำคัญตรวจจับได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีความเหนื่อยล้า และรวดเร็วกว่า ช่วยวิศวกรในการวางแผนซ่อมแซมได้อย่างแม่นยำถึง 97%
ซึ่งนอกจากจะลดความผิดพลาดแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาในการทำงาน ส่งเสริมให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
ยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
- อีกหนึ่งความแตกต่างสำคัญที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ คือ การทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจาก AI จะช่วยลดความผิดพลาดในการทำงานแล้ว AI ยังสามารถทำงานเนื้อหาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ได้ตลอดเวลาผ่าน AI Prompt เช่น การจัดเอกสาร การวิเคราะห์ข้อมูล การค้นหาข้อมูล หรือการตอบคำถามของลูกค้า ช่วยให้บุคลากรสามารถโฟกัสงานด้านอื่น ๆ ได้มากขึ้น ช่วยให้งานมีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
ตอบโจทย์งานที่มีความเสี่ยงและอันตราย
- นอกจากนี้ AI ยังสามารถประยุกต์ใช้ในพื้นที่เสี่ยงแทนมนุษย์ได้ เช่น การใช้หุ่นยนต์สำรวจทางทะเลและอวกาศ การใช้หุ่นยนต์ในการกู้ภัยพิบัติ เป็นต้น
เปิดเคสตัวอย่าง AI ในชีวิตประจำวัน ที่หลายคนใช้อยู่ไม่รู้ตัว
![](https://solutionsimpact.com/wp-content/uploads/2024/03/AI1.jpg)
การสแกนใบหน้าโดยเทคโนโลยี Biometrics
- ถ้าจะใช้คำให้เห็นภาพ ก็คือ ระบบแสกนใบหน้าหรือแสกนรอยนิ้วมือในปัจจุบัน เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการระบุตัวตน โดยการนำเอกลักษณ์แต่ละบุคคล มาวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่าง เช่น การแสกนใบหน้า แสกนลอยนิ้วมือ การพิสูจน์ลายเซ็น การพิสูจน์เสียง เป็นต้น
Google Search
- อีกหนึ่ง AI ที่เราใช้กันมาโดยตลอด นั่นก็คือ การค้นหาข้อมูลผ่าน Google สังเกตกันไหมว่า เรายังไม่ทันจะพิมพ์เสร็จ ก็จะมีข้อความเด้งด้านล่าง เป็นคาดเดาว่าเราจะค้นอะไร ช่วยให้เราสามารถค้นหาข้อความได้ตรงตามความต้องการมากที่สุด
แอปพลิเคชั่น Steaming
- ไม่ว่าจะเป็น Youtube, Netflix, Disney+ และอื่น ๆ อีกมากมาย แอปพลิเคชั่นเหล่านี้จะใช้ข้อมูลที่เราเคยค้นหา หรือเคยรับชม คาดเดาสิ่งที่เราชอบและสนใจ เพื่อแนะนำรายการต่อไป ยกตัวอย่าง ถ้าเราเคยดูซีรีส์ Breaking Bad แอปฯ Netflix จะแนะนำ Better Call Saul, El Camino, Narcos ซึ่งเป็นซีรีส์และภาพยนตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกัน หรือมีเนื้อหาคล้ายคลึงกันมาให้เราเลือกรับชม
หรือจะเป็นกรณีแอปฯ Youtube ถ้าเราเคยเปิดเพลง Baby Shark หรือเปิดรายการเด็ก ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป Youtube ก็จะแนะนำเพลงเด็กและรายการเด็ก ๆ ขึ้นมาที่หน้าแรก เพื่อให้เรากดชมต่อนั่นเอง
- เป็นอีกหนึ่งแอปฯ ที่หลายคนไม่เคยรู้ว่ามี AI อยู่เบื้องหลัง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การลงรูปภาพกลุ่มที่เราถ่ายกับเพื่อน ๆ ตัวแอปฯ จะแนะนำให้เรา Tag เพื่อนในรูป ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้พิมพ์ชื่อ ซึ่งเกิดจาก Facial Recognition ในหลาย ๆ รูปเทียบกันนั่นเอง
หรือมีฟีเจอร์คนที่คุณอาจจะรู้จัก ให้เราแอดเป็นเพื่อน ตรงส่วนนี้ Facebook จะพิจารณาจากการมีเพื่อนร่วมกัน โรงเรียนหรือสถานที่ทำงานเดียวกัน อยู่ในกลุ่มบน Facebook เดียวกัน หรือเคยอยู่ในโพสต์เดียวกัน
ChatGPT
- และตัวอย่างสุดท้ายกับการใช้งาน ChatGPT หนึ่งในตัวอย่าง AI ที่สามารถเขย่าวงการเทคโนโลยีและได้รับการจับตามองในปัจจุบัน ด้วยความสามารถที่ล้ำหน้ามากกว่าการเสิร์ชหาข้อมูลเดิม ๆ แค่ตั้งคำถามไป ChatGPT ก็ให้คำตอบกลับมาเร็วมาก เหมือนมีเลขาส่วนตัวอยู่ข้าง ๆ และที่สำคัญ ChatGPT ยังเข้าใจความซับซ้อนของภาษาและบริบทในการสนทนาอีกด้วย
นอกจากข้อดีในการหาคำตอบให้รวดเร็วแล้ว ความพิเศษของ ChatGPT อีกอย่าง คือ เป็น AI ที่มีคลังความรู้มหาศาล ไม่ว่าเราจะถามอะไรไป ChatGPT ก็สามารถหาคำตอบมาได้ทันที เหมือนวิ่งติดจรวดไปหาข้อมูลในหอสมุดจากทั่วโลก เพื่อหาคำตอบมาให้เรา ChatGPT จึงเป็นเหมือนเครื่องทุ่นแรงชั้นดีที่ทำให้การทำงานง่ายยิ่งขึ้น โดยสามารถปรับใช้ได้ในการทำงานในหลาย ๆ ด้าน เช่น AI Writer ไทย แนะนำหัวข้อคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย การช่วยทำสไลด์ หรือการร่าง email ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
ทำไม AI (ปัญญาประดิษฐ์) ถึงมีความสำคัญในยุคดิจิทัล
จากตัวอย่าง AI ในชีวิตประจำวันที่ผ่านมาทั้งหมด น่าจะทำให้หลายคนเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นแล้วว่าเทคโนโลยี AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร ก็ล้วนแต่มี AI มาเกี่ยวข้องเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การพักผ่อนก็ตาม โดย AI นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกแล้ว ยังช่วยในเรื่องความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อีกด้วย
และสำหรับใครที่กำกังวลว่า AI จะทำให้คนตกงาน ต้องบอกเลยว่า เข้าใจผิดมาก ๆ เพราะจริง ๆ แล้วจุดประสงค์ในการสร้าง AI คือ การช่วยให้มนุษย์ทำงานได้เร็วและง่ายขึ้น และยังช่วยให้เห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้บริษัทเติบโตได้อีกด้วย จำไว้เสมอว่า AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์ แต่คนที่สามารถใช้ AI ได้ คือ คนที่จะมาแทนที่มนุษย์ที่ใช้ AI ไม่ได้
เปิดโลกเบื้องหลัง AI คืออะไร และมีหลักการทำงานอย่างไร?
กว่าจะได้ AI ที่มีความสามารถในการเรียนรู้คล้ายมนุษย์ขนาดนี้ AI ก็เหมือนกับเด็กนักเรียนที่ต้องมีการเรียนรู้ก่อนเหมือนกัน เราจึงต้องสอน AI ด้วยการเพิ่มชุดข้อมูล (Input) หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ คำพูด หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ AI ได้วิเคราะห์ข้อมูล และประมวลผล เพื่อให้คำตอบกลับมา (Response) คล้ายกับมนุษย์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มา ก็จะนำมาใช้ประโยชน์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์
เทคโนโลยี AI สามารถแบ่งได้กี่ประเภท แต่ละประเภทมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง?
![](https://solutionsimpact.com/wp-content/uploads/2024/03/Ai3.jpg)
ปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ การแบ่ง AI ตามพัฒนาการ และการแบ่ง AI ตามการประมวลผล โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การแบ่ง AI (ปัญญาประดิษฐ์) ตามพัฒนาการ
- การแบ่ง AI (ปัญญาประดิษฐ์) ตามพัฒนาการ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่ Artificial Narrow Intelligence (ANI), Artificial General Intelligence (AGI) และ Artificial Super Intelligence (ASI) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
Artificial Narrow Intelligence (ANI)
- ANI หรือเรียกอีกอย่างว่า Weak AI เป็น AI ที่พบเห็นได้ในปัจจุบัน จะทำงานตามที่ได้โปรแกรมไว้เท่านั้น เช่น ระบบแชทบอท (ตอบได้แค่คำถามเบื้องต้น) หุ่นยนต์ตามร้านอาหาร ฟิลเตอร์ในแอปฯ แต่งรูป ระบบคัดกรองอีเมล เป็นต้น ไม่สามารถทำงานนอกเหนือจากนั้นได้ และไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้
Artificial General Intelligence (AGI)
- เรียกอีกอย่างว่า Strong AI เป็นระบบ AI ที่มีความรู้ ความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์ สามารถเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูล แก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล สามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายสถานการณ์ ไม่จำกัดเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งเหมือน ANI นอกจากนี้ ยังสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ปัจจุบัน AGI ยังเป็นเพียงทฤษฎี ยังไม่สามารถพัฒนาได้สำเร็จ
Artificial Super Intelligence (ASI)
- ASI เป็นระบบ AI ที่มีพัฒนาการเหนือมนุษย์ ลักษณะคล้ายภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือเกมต่าง ๆ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับมนุษย์ และยังเป็น AI ที่ยังไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้เช่นกัน
การแบ่ง AI (ปัญญาประดิษฐ์) ตามระบบการประมวลผล
- การแบ่ง AI (ปัญญาประดิษฐ์) ตามระบบการประมวลผล สามารถแบ่งได้ 4 ประเภท ได้แก่ Reactive Machines, Limited Theory, Theory of Mind และ Self-Aweaness โดยมีรายละเอียด ดังนี้
Reactive Machines
- เป็นระบบ AI ที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่มีหน่วยความจำเป็นของตัวเอง และไม่สามารถดึงข้อมูลเก่ามาเรียนรู้ได้ ตอบสนองเฉพาะสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ไม่สามารถคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตได้
Limited Theory
- เป็นระบบ AI ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีหน่วยความจำ และสามารถดึงข้อมูลเก่ามาเรียนรู้ เพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น หรือใช้ในแก้ปัญหาในอนาคตได้ ยิ่งมีข้อมูลเยอะมากเท่าไร ความแม่นยำในการตัดสินใจก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เช่น ระบบเซ็นเซอร์รถยนต์ ที่จะปล่อยคลื่นอัลตราโซนิกเมื่อกระทบกับวัตถุใด ๆ คลื่นก็จะสะท้อนกลับมาที่รถ ระบบก็จะมีการแจ้งเตือน เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ และป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
Theory of Mind
- เป็น AI ที่มีความสามารถเข้าใจมนุษย์ได้ค่อนข้างดี ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก วัฒนธรรม และความเชื่อ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้จริง ทั้งนี้ หาก AI ประเภทนี้เกิดขึ้นจริง คาดว่าจะสามารถคาดการณ์พฤติกรรมของมนุษย์ได้ล่วงหน้า ผ่านการทำความเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Minnority Report ที่ใช้ AI ในการทำนายการเกิดอาชญากรรมในอนาคต โดยสามารถระบุเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เหยื่อและอาชญากรได้อย่างชัดเจน
Self-awareness
- เป็นระบบ AI ระดับสูงสุด มีความคิด ความรู้สึก ตัดสินใจ และทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็น AI ที่พบอยู่ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Bicentennial Man หุ่นยนต์ที่เรียนรู้ความของการมีชีวิตอยู่ และความรัก และเช่นเดียวกัน AI ประเภท Theory of Mind ยังไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ในปัจจุบัน
ชวนรู้จัก AI for Business คืออะไร ช่วยธุรกิจได้อย่างไรบ้าง?
AI for Business ความหมายตรงตัวเลย คือ ปัญญาประดิษฐ์เพื่อธุรกิจ นำ AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
- ลดต้นทุน
- สร้างรายได้ให้กับธุรกิจ
โดย AI for Business สามารถช่วยเหลือธุรกิจได้หลายด้านแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่องค์กรว่าจะเอา AI ไปช่วยพัฒนาธุรกิจในด้านไหน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ
AI จะทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยอิงจากทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดค่าใช้จ่ายในองค์กร ช่วยแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อน
- ดำเนินขั้นตอนการทำงานแบบรูทีนให้อัตโนมัติ เช่น การจัดการข้อมูล การเขียนรายงาน ช่วยให้พนักงานได้โฟกัสงานที่สำคัญและมีไอเดียสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น
- คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ จากการดึงข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ เช่น การประเมินความต้องการในการซ่อมแซมเครื่องจักร ช่วยให้องค์กรสามารถเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า
เสนอแนวทางที่ดีที่สุด ช่วยให้ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
- AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูล และเสนอแนวทางการตัดสินใจที่ดีที่สุด ช่วยให้ผู้บริหาร หรือผู้ใช้งานตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เพิ่มโอกาสในการเห็นช่องทางการเติบโตทางธุรกิจ และยังช่วยลดความเสี่ยงในการผิดพลาดได้ดีอีกด้วย เช่น AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เพื่อคาดการณ์ราคาหุ้นในอนาคต ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้ดีมากยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์ในการวิเคราะห์มีความแม่นยำ
- อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ กว่า AI จะสามารถให้ผลลัพธ์ได้แม่นยำ ต้องผ่านการประมวล Input หลากหลายรูปแบบนับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะมีความเชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ ยกตัวอย่าง AI ทางการแพทย์ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการวิเคราะห์ภาพรังสีและ MRI เพื่อระบุปัญหาสุขภาพ ช่วยแพทย์สามารถข้อมูลตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และสามารถหาแนวทางในการรักษาได้อย่างทันท่วงที
วิเคราะห์ปัญหาและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบ AI นอกจากจะสามารถนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ได้แล้ว AI ยังสามารถวิเคราะห์คอขวดที่อาจเกิดขึ้นในการผลิต ส่งผลให้การทำงานไร้ประสิทธิภาพ จากการทำ Dashboard เพื่อให้ข้อมูลแบบ Near real time หรือ real time ช่วยให้ธุรกิจสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากยิ่งขึ้น
สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
- AI สามารถตอบคำถาม ให้ข้อมูล และแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้กับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง จากฐานข้อมูลที่มีอยู่ ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และยังสามารถแนะนำสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับลูกค้า ตามประวัติการเข้าชมและการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ช่วยให้ปิดการขายได้ง่ายยิ่งขึ้น
AI for Business & Productivity คือทักษะอะไร เกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างไร
![](https://solutionsimpact.com/wp-content/uploads/2024/03/Ai4.jpg)
AI for Business & Productivity หมายถึง ทักษะที่ผสมผสานความรู้ความเข้าใจในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประยุกต์ใช้กับการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานหรือธุรกิจ
การมีทักษะ AI for Business & Productivity มีข้อดีอย่างไร
สำหรับคนที่มีทักษะด้าน AI for Business & Productivity นอกจากจะช่วยให้ทำงานสนุกและง่ายกว่าเดิมแล้ว ยังมีข้อดีด้านอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- ช่วยให้คุณมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในยุคดิจิทัล
- เพิ่มโอกาสในการหางาน หรืออาชีพใหม่ ๆ ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน เช่น Prompt Engineer
- พัฒนาศักยภาพในการทำงาน
- เพิ่มฐานเงินเดือนให้สูงกว่าเดิม
สำหรับใครที่มีความสนใจด้านปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence อยากทำความเข้าใจ หรือเรียน AI มากขึ้น เพื่อนำไปปรับใช้ภายในองค์กร แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน ยิ่งในยุคที่องค์กรจำเป็นต้องปรับตัว เพื่อป้องกันการ Disruption ให้ SOLUTIONS IMPACT เป็นทางเลือกดี ๆ ให้กับคุณ เพราะเราเป็นสถาบันที่พร้อมจะช่วยคุณและองค์กรของคุณสามารถปรับตัวได้ทันเวลา ในยุคสมัยที่ทุกคนทำงานมีประสิทธิภาพและทำงานเร็วมากขึ้น 10 เท่าได้ง่ายกว่าที่เคย
เราออกแบบและดีไซน์คอร์สอบรมพิเศษสำหรับองค์กร และพนักงานทุกคน ไม่ว่าคุณจะทำงานในแผนกไหน หรือตำแหน่งอะไร มีพื้นฐานการใช้ AI มากน้อยแค่ไหนก็ตาม คอร์สอบรมของเราจะเริ่มต้นจากพื้นฐานเป็นอันดับแรก เพื่อความเข้าใจ และช่วยให้มองเห็นภาพการนำเครื่องมือ AI มาประยุกต์ใช้ในองค์ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สามารถนำไปใช้ได้จริง และที่สำคัญ หลักสูตรของเรายังสามารถ Customize ให้ตรงกับความต้องการขององค์กรได้อีกด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คอร์สที่น่าสนใจขับเคลื่อนองค์กรของคุณ ตอบโจทย์ ในยุค AI FIRST
Generative AI & ChatGPT for Business, AI Skills and Literacy
เป็นหนึ่งในคอร์สที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ SOLUTIONS IMPACT บรรยากาศในการเรียนจะเน้นฝึกปฏิบัติ เป็นหลักสูตรที่เน้นคิดคำถาม และประยุกต์ใชิ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นคอร์สที่พนักงานทุกคนควรได้เรียน โดยระหว่างการเรียนจะมีการทำ Workshop ช่วยให้เห็นภาพการใช้งานจริง พร้อมปูพื้นฐานตั้งแต่ต้น จนสามารถนำไปใช้ได้จริง
- ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจใน Generative AI และ ChatGPT ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- สามารถประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจ
- เพิ่มขีดความสามารถในการทำงานร่วมกับ AI เพื่อเพิ่มโอกาสต่อยอดทางธุรกิจ
- Real-World กรณีศึกษาจริงในการแก้ปัญหาทางธุรกิจด้วย AI
- เตรียมความพร้อม เพื่อรับมือธุรกิจและเทคโนโลยีด้วย Digital Skill ที่ทันสมัย
Empowering AI+Digital Mindset for All Level
เป็นคอร์สที่เน้นการเปิดใจใช้ AI ในการทำงาน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเริ่มใช้สิ่งใหม่ ๆ ในองค์กร ต้องเริ่มจากการปรับ Mindset จะทำยังไงให้พนักงานภายในองค์กรยอมรับและนำไปปรับใช้อย่างเต็มใจ โดยที่ไม่รู้สึกถึงการบังคับ ปรับ Mindset จากเดิมที่ว่า AI คือ ภัยคุกคาม สู่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในโลกดิจิทัล
- ช่วยให้เข้าใจผลกระทบของ AI ที่มีต่อธุรกิจและองค์กร
- เริ่มปรับ Mindset เตรียมพร้อมต่อการเติบโตทางธุรกิจไปพร้อม ๆ กับโลกดิจิทัล
- เพิ่มขีดความสามารถทางดิจิทัลของตัวเองและทีมงาน
- ยกระดับ Productivity ด้วย AI และเทคโนโลยีใหม่ ๆ
- ช่วยให้มองเห็นโอกาสการประยุกต์ใช้ AI กับงานประจำวันได้จริง
หลักสูตรอบรมของ SOLUTIONS IMPACT แตกต่างจากที่อื่นอย่างไร
เราเป็นสถาบันอบรมด้านเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากกว่า 12 ปี ผ่านการอบรมพนักงานและองค์กรชั้นนำต่าง ๆ ถึง 50,000 คน / ปี การันตีความน่าเชื่อถือด้วยความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำระดับประเทศมากกว่า 100 องค์กร
นอกจากนี้ ทีมงานของเรานําหลักการทางจิตวิทยา การเล่นเกม และกลยุทธ์การเรียนรู้รูปแบบใหม่ มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบเนื้อหาและประสบการณ์การเรียน ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ให้มีความน่าสนใจ กระตุ้นการอยากมีส่วนร่วมระหว่างอบรม แตกต่างจากการอบรมเดิม ๆ
รวมถึงทีมของเรามีความชำนาญในการอบรมแบบ in-house training คือ มุ่งเน้นจัดฝึกอบรมที่สามารถออกแบบให้ตรงกับความต้องการของแต่ละองค์กรได้
รวมภาพบรรยากาศการเรียนคอร์สด้าน AI for Business & Productivity
รวมภาพบรรยากาศองค์กรที่เข้ามาเรียนคอร์สด้าน AI for Business & Productivity กับเรา พบว่า ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจด้าน AI อย่างลึกซึ้ง AI คือ โอกาสแห่งความสำเร็จ และมองเห็นภาพการนำ AI มาปรับใช้หรือประยุกต์ใช้กับงานส่วนตัวหรือองค์กรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
FAQ : คำถามพบบ่อยที่เกี่ยวกับ AI (ปัญญาประดิษฐ์)
เทคโนโลยี AI คืออะไร
เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ คือ การพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้สามารถเลียนแบบความคิด ความสามารถ การตัดสินใจการทำงานได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น เพื่อช่วยให้มนุษย์ทำงานได้ง่ายขึ้น
AI คืออะไร มีอะไรบ้าง
ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ การแบ่ง AI ตามพัฒนาการ และการแบ่ง AI ตามการประมวลผล
การแบ่ง AI (ปัญญาประดิษฐ์) ตามพัฒนาการ
- Artificial Narrow Intelligence (ANI) : เป็น AI ที่ทำได้หน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับเท่านั้น ไม่สามารถทำงานนอกเหนือจากนั้นได้ และไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้
- Artificial General Intelligence (AGI) : มีความรู้ ความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์ เรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูล แก้ปัญหาได้หลากหลายสถานการณ์ ไม่จำกัดเฉพาะด้านใดด้าน สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- Artificial Super Intelligence (ASI) : มีพัฒนาการเหนือมนุษย์ ลักษณะคล้ายภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือเกมต่าง ๆ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับมนุษย์
การแบ่ง AI (ปัญญาประดิษฐ์) ตามระบบการประมวลผล
- Reactive Machines : ไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่มีหน่วยความจำเป็นของตัวเอง และไม่สามารถดึงข้อมูลเก่ามาเรียนรู้ได้
- Limited Theory : สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีหน่วยความจำ และสามารถดึงข้อมูลเก่ามาเรียนรู้ เพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น หรือใช้ในแก้ปัญหาในอนาคตได้
- Theory of Mind : เข้าใจมนุษย์ได้ค่อนข้างดี ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก วัฒนธรรม และความเชื่อ
- Self-awareness : มีความคิด ความรู้สึก ตัดสินใจ และทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง