ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายภาคส่วน หนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากคือ Computer Vision AI หรือการใช้ AI เพื่อให้คอมพิวเตอร์มองเห็นและเข้าใจภาพหรือวิดีโอได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่พลิกโฉมกระบวนการทำงาน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมในภาคธุรกิจอย่างก้าวกระโดด บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักว่า Computer Vision AI คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร และนำไปใช้งานในด้านใดบ้าง

Computer Vision คืออะไร?

 Computer Vision AI หรือ “การมองเห็นของคอมพิวเตอร์” คือ หนึ่งในเทคโนโลยีหลักของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้ระบบสามารถ “เข้าใจภาพ” ได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง วิดีโอ หรือสัญญาณภาพจากกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์ IoT พูดให้เข้าใจง่ายคือการทำให้คอมพิวเตอร์มี “ดวงตา” ที่สามารถตรวจจับ วิเคราะห์ และตีความข้อมูลจากภาพได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และตอบสนองแบบเรียลไทม์ เช่น การจดจำใบหน้า (Facial Recognition) การวิเคราะห์พฤติกรรมในภาพจากกล้องวงจรปิด หรือการช่วยรถยนต์ไร้คนขับมองเห็นถนนและสิ่งกีดขวาง

ปัจจัยที่ทำให้ Computer Vision พัฒนาอย่างต่อเนื่อง​

Computer Vision AI เป็นเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีนี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน มีดังนี้

1. การเติบโตของอุปกรณ์ที่มีกล้องความละเอียดสูง

การใช้งานสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกล้องคุณภาพสูง รวมถึงการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ในที่สาธารณะและภาคธุรกิจอย่างแพร่หลาย ทำให้เกิดข้อมูลภาพและวิดีโอจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน ส่งผลให้มี Big Data ด้านภาพ ซึ่งนำมาใช้ในการฝึกโมเดล AI ให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

2. การเข้าถึงพลังประมวลผลที่มีประสิทธิภาพในราคาที่จับต้องได้

ในอดีต การประมวลผลข้อมูลภาพต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ราคาแพง แต่ปัจจุบันหน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูง เช่น GPU (Graphic Processing Unit) และ TPU (Tensor Processing Unit) มีราคาถูกลงและใช้งานได้ผ่านบริการ Cloud ทำให้ทั้งองค์กรขนาดเล็กและนักพัฒนาอิสระสามารถเข้าถึงการประมวลผลภาพระดับสูงได้ง่ายขึ้น

3. ความพร้อมของฮาร์ดแวร์เฉพาะทางด้าน Computer Vision

ตลาดมีอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น กล้อง AI, เซนเซอร์ความลึก, และบอร์ดประมวลผลแบบฝังตัว ที่รองรับการประมวลผลภาพแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้การสร้างระบบ AI Vision แบบ Edge Computing ทำได้ง่ายและเร็วขึ้น

4. การพัฒนาอัลกอริทึมขั้นสูงและเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส

อัลกอริทึมอย่าง Convolutional Neural Networks (CNNs) รวมถึงโมเดลใหม่ๆ เช่น Transformers และ Vision-Language Models ทำให้ระบบสามารถวิเคราะห์และตีความภาพได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส เช่น TensorFlow, PyTorch และ OpenCV ที่ช่วยให้การพัฒนาและทดสอบระบบเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น

หลักการทำงานของ Computer Vision​

เทคโนโลยี Computer Vision​ ไม่ได้เกิดขึ้นจากขั้นตอนเดียว แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องหลายลำดับขั้นคล้ายกับการต่อภาพจิ๊กซอว์ที่ไม่มีเฉลย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่

1. ขั้นตอนการรับข้อมูลภาพ

ระบบจะเริ่มจากการรับข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น ภาพนิ่ง วิดีโอ ภาพแบบ 3 มิติ โดยข้อมูลที่ใส่เข้าไปนั้นจะต้องมีปริมาณมากและมีความหลากหลาย เพื่อช่วยให้ Computer Vision AI Model สามารถเรียนรู้คุณลักษณะต่างๆ ของภาพได้อย่างแม่นยำ สามารถจำแนกและตีความได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยข้อมูลภาพที่ดีควรครอบคลุมทั้งในมุมมองปกติและลักษณะที่ซับซ้อน เช่น ภาพในที่แสงน้อย มุมกล้องแปลก หรือภาพที่มีวัตถุหลายชนิด

2. การประมวลผลและแยกแยะภาพ

เมื่อได้ข้อมูลภาพแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Deep Learning และ Convolutional Neural Networks (CNNs) ที่ทำงานเหมือนสมองกลของคอมพิวเตอร์ CNN จะทำหน้าที่แยกองค์ประกอบต่างๆ ของภาพ เช่น ขอบภาพ ลวดลาย รูปทรง และพื้นผิว ออกมาเก็บไว้ในแต่ละชั้นของโครงข่าย (Convolutional Layers) โดยระบบจะค่อยๆ เรียนรู้จากจุดเล็กๆ เหล่านี้ไปจนเข้าใจภาพโดยรวม ซึ่งช่วยให้ AI สามารถจำแนกภาพที่มีความซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

3. การวิเคราะห์และตีความ

หลังจากผ่านการประมวลผลแล้ว ระบบจะเข้าสู่ขั้นตอนของการ จำแนกประเภท (Classification) และ ตีความภาพ (Interpretation) โดยอาศัยข้อมูลที่เรียนรู้มาเพื่อตอบคำถามว่า “ภาพนี้คืออะไร?” “มีอะไรอยู่ในภาพบ้าง?” เช่น ตรวจจับใบหน้าคน อ่านป้ายทะเบียน หรือระบุวัตถุในภาพว่าเป็นรถยนต์ ต้นไม้ หรือสัตว์

ทำไมการทำงานของ Computer Vision ถึงคล้ายการต่อจิ๊กซอว์?

เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ การทำงานของ AI Vision ก็เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ที่ต้องเรียงชิ้นส่วนให้ถูกต้อง แม้คอมพิวเตอร์จะไม่มี “ภาพตัวอย่าง” เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ แต่ระบบจะอาศัยการเรียนรู้จากตัวอย่างจำนวนมากเพื่อสร้าง “ภาพในจินตนาการ” ขึ้นมาใหม่ คอมพิวเตอร์ต้องเรียนรู้จากศูนย์ และพัฒนาความสามารถในการคาดเดาว่า “ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น” มีหน้าที่หรืออยู่ในตำแหน่งใดของภาพ โดยอาศัยการเรียนรู้ซ้ำๆ และการปรับค่าพารามิเตอร์ของโมเดลอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเข้าใจภาพที่ซับซ้อนและให้คำตอบที่แม่นยำที่สุดได้

เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Computer Vision

Computer Vision AI ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยหลายประเภทเพื่อวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลภาพ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจภาพและวิดีโอในลักษณะที่คล้ายกับการรับรู้ของมนุษย์ ตัวอย่างของเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา Computer Vision AI Model ในปัจจุบัน ได้แก่

1. Deep Learning

Deep Learning เป็นหนึ่งในเทคนิคของการเรียนรู้เชิงลึก (Machine Learning) ที่ใช้เครือข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) โดยเฉพาะในรูปแบบที่มีหลายชั้น (Deep Neural Networks) ซึ่งแต่ละชั้นจะมีการประมวลผลข้อมูลภาพในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ โดยขั้นตอนการทำงานเหล่านี้จะใช้คณิตศาสตร์ในการคำนวณและพัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถตีความหมายของภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น การฝึกฝนโมเดลจะช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถจำแนกรูปแบบในภาพได้โดยอัตโนมัติ

2. Convolutional Neural Networks – CNN

CNN เป็นประเภทของเครือข่ายประสาทเทียมที่ได้รับความนิยมในการประมวลผลภาพและการจดจำวัตถุ โดยทำการวิเคราะห์ภาพเป็นพิกเซลและพยายามจับลักษณะต่างๆ ของภาพ เช่น เค้าร่าง รูปร่าง และรายละเอียดภายใน จากนั้นจะใช้กระบวนการ Convolution เพื่อลดขนาดข้อมูลและดึงคุณลักษณะที่สำคัญออกมาใช้ในการจำแนกประเภทของภาพ การใช้ CNN ช่วยให้การจำแนกภาพมีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงขึ้น

3. Recurrent Neural Networks – RNN

RNN เป็นเครือข่ายประสาทเทียมที่เหมาะสำหรับการประมวลผลข้อมูลที่มีลำดับหรือเป็นชุด เช่น วิดีโอ ซึ่งต่างจาก CNN ที่ใช้ในการประมวลผลภาพเพียงภาพเดียว RNN สามารถจับความสัมพันธ์ระหว่างภาพต่างๆ ภายในวิดีโอเพื่อเข้าใจความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยการใช้ RNN ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ลำดับภาพและประมวลผลข้อมูลแบบเชิงลึกเพื่อการคาดการณ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น

ความท้าทายในการฝึก AI จากภาพ

แม้ว่าเทคโนโลยี Computer Vision AI จะมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยมุ่งเน้นการทำให้เครื่องจักรเข้าใจภาพและวิดีโอเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ต้องปรับปรุงและแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ความท้าทายในการฝึก Computer Vision มีอะไรบ้าง

คุณภาพและปริมาณของข้อมูลภาพ

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ Computer Vision AI  คือข้อมูลภาพ (image data) ที่ใช้ในการฝึกโมเดลภาพต้องมีความละเอียดและความคมชัดสูง ต้องมีปริมาณมากพอที่จะครอบคลุมทุกกรณี ภาพต้องมีการติดป้ายกำกับ (annotation) ที่ถูกต้องและแม่นยำ ความท้าทายคือการรวบรวมภาพจำนวนมากต้องใช้เวลา แรงงาน และงบประมาณสูง โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการความแม่นยำระดับสูง เช่น ภาพทางการแพทย์

ความไม่สมดุลของข้อมูล (Imbalanced Dataset)

ข้อมูลบางประเภทอาจมีจำนวนภาพมาก ในขณะที่บางประเภทกลับมีน้อย ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ของโมเดล เช่น โมเดลอาจจดจำหมาได้ดี แต่ไม่สามารถแยกแมวออกจากเสือได้ 

ปัญหา Overfitting และ Underfitting

Computer Vision AI Models เรียนรู้จากข้อมูลภาพมากเกินไป จนไม่สามารถใช้งานกับข้อมูลจริงนอกชุดฝึกได้ หรือเรียนรู้น้อยเกินไปจนไม่เข้าใจภาพ

  • Overfitting: โมเดลจดจำรายละเอียดของข้อมูลฝึกมากเกินไป
  • Underfitting: โมเดลไม่สามารถเรียนรู้รูปแบบจากข้อมูลได้เพียงพอ

ความหลากหลายของสภาพแวดล้อมและแสง

ภาพที่ถูกถ่ายในสภาพแสงต่างกัน หรือมุมมองต่างกัน อาจทำให้โมเดลสับสนได้ เช่น ภาพรถยนต์ในเวลากลางวันกับกลางคืน หรือภาพบุคคลในสภาพแสงน้อย

ความซับซ้อนของบริบทภาพ

การเข้าใจภาพไม่ใช่แค่ดูว่ามีอะไรอยู่ในภาพ แต่ยังต้องเข้าใจบริบทด้วย เช่น ภาพของคนถือมีดอาจเป็นคนทำอาหารในครัวหรือคนที่กำลังทำร้ายผู้อื่น ซึ่งความท้าทายคือ AI ยังไม่สามารถเข้าใจเจตนา หรือบริบทในระดับลึกเท่ามนุษย์ได้

ความท้าทายทางจริยธรรมและความเป็นส่วนตัว

การใช้ภาพในการฝึก Computer Vision AI โดยเฉพาะภาพใบหน้าหรือภาพจากกล้องวงจรปิด อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหากไม่ได้รับความยินยอม

ประโยชน์ของ Computer Vision มีอะไรบ้าง ในปัจจุบัน​

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี Computer Vision ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และถูกนำมาใช้งานในหลายด้านในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ อุตสาหกรรม การขนส่ง หรือแม้แต่การรักษาความปลอดภัย การใช้งานที่สำคัญของ computer vision มีอะไรบ้าง

1. การแยกส่วนของภาพ (Image Segmentation)

การแยกส่วนภาพคือการแบ่งแยกภาพออกเป็นหลายส่วนเพื่อลดความซับซ้อนของการวิเคราะห์ เช่น ใช้เพื่อแยกเซลล์มะเร็งจากภาพสแกน MRI หรือการแยกแยะเส้นเลนบนถนนในเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ (Self-driving cars) เพื่อให้รถสามารถขับได้อย่างปลอดภัยและมีความแม่นยำสูงในการเดินทาง

2. การจัดกลุ่มภาพ (Image Classification)

เทคโนโลยี AI Vision ช่วยในการระบุและจัดประเภทของวัตถุที่ปรากฏในภาพ เช่น การตรวจสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เสียหายในสายการผลิต หรือการแยกรูปแบบของรถในลานจอดรถ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

3. การจับคู่ลักษณะของภาพ (Feature Matching)

การจับคู่จุดเด่นของภาพสองภาพสามารถนำไปใช้ในการจดจำใบหน้าหรือการตรวจสอบลักษณะทางชีวภาพที่มีความสำคัญ เช่น การระบุตัวบุคคลผ่านเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ใช้ในการรักษาความปลอดภัยหรือการเข้าถึงระบบต่างๆ

4. การตรวจหาวัตถุ (Object Detection)

การตรวจจับวัตถุภายในภาพช่วยให้ระบบ AI Vision สามารถระบุวัตถุที่สำคัญหลายๆ ชิ้นในภาพเดียวกันได้ เช่น การตรวจสอบจำนวนยานพาหนะในถนน หรือการตรวจหาวัตถุต้องสงสัยในพื้นที่ต้องห้าม โดยเทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในหลายด้าน

5. การจดจำใบหน้า (Facial Recognition)

เทคโนโลยีการจดจำใบหน้ามีการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในระบบการรักษาความปลอดภัย การตรวจสอบตัวบุคคลในสนามบิน หรือการเข้าใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เทคโนโลยีAI Vision ช่วยให้สามารถระบุและยืนยันตัวตนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

6. การระบุขอบเขตของวัตถุ (Edge Detection)

การตรวจจับขอบเขตของวัตถุทำให้สามารถแยกแยะขอบของวัตถุได้ชัดเจน เช่น ในการตรวจจับสิ่งผิดปกติจากภาพหรือการจำแนกรูปร่างและขนาดของวัตถุในงานด้านวิศวกรรมและการออกแบบ

7. การตรวจหาลวดลาย (Pattern Detection)

การตรวจจับลวดลายที่มีความคล้ายคลึงกันในวัตถุช่วยให้สามารถระบุสิ่งต่างๆ ได้ เช่น การสแกนลายนิ้วมือหรือการตรวจสอบความเสียหายของพืชหรือวัสดุต่างๆ ทำให้การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูลมีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ Computer Vision ในการทำงาน​

ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี AI Computer Vision AI ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน ไม่เพียงแต่ในภาคอุตสาหกรรม แต่ยังขยายบทบาทไปสู่หลายภาคส่วน การประยุกต์ใช้ Computer Vision ในการทำงาน ได้แก่

1. ด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพ

 Computer Vision AI นำมาใช้ในการวินิจฉัยและดูแลผู้ป่วยในหลายด้าน เช่น การประมวลผลภาพทางการแพทย์ เช่น ภาพ MRI, CT Scan, X-ray และอัลตร้าซาวด์ ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจจับสิ่งผิดปกติในร่างกายได้แม่นยำยิ่งขึ้น วางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการวินิจฉัยโรคในระยะแรกเริ่ม นอกจากนี้ยังนำมาใช้ในระบบบริการสุขภาพอัจฉริยะ เช่น ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) เพื่อยืนยันตัวตนผู้ป่วยและลดเวลาในการลงทะเบียน ตรวจสอบจำนวนเตียงว่างและความหนาแน่นของผู้ป่วยในแต่ละแผนก การติดตามอาการผู้ป่วยจากระยะไกลผ่านวิดีโอและการวิเคราะห์พฤติกรรมอัตโนมัติ

2. ความปลอดภัยและความมั่นคง

ในด้านความปลอดภัยและความมั่นคง เทคโนโลยี Computer Vision AI  ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยทั้งในภาครัฐและเอกชน ตัวอย่างการใช้งาน ได้แก่

  • การตรวจจับผู้บุกรุก วัตถุต้องสงสัย หรือพฤติกรรมผิดปกติในสถานที่สำคัญ
  • การจดจำใบหน้าเพื่อตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลในระบบควบคุมการเข้า-ออก
  • ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์อัตโนมัติ (ALPR)
  • การค้นหาผู้สูญหายหรือนักโทษหลบหนีผ่านกล้องวงจรปิด
  • การคาดการณ์ภัยธรรมชาติ เช่น ตรวจจุดความร้อนเพื่อป้องกันไฟป่า
  • ในงานบันเทิง ยังใช้เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของผู้ร่วมงาน เช่น ตรวจจับกลุ่มผู้ไม่หวังดีในงานคอนเสิร์ต

3. อุตสาหกรรม การผลิต และการเกษตร

ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างหันมาใช้ Computer Vision AI  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ตัวอย่างเช่น 

  • การตรวจสอบคุณภาพสินค้าอัตโนมัติในสายการผลิต
  • คาดการณ์การบำรุงรักษาเครื่องจักรล่วงหน้า (Predictive Maintenance)
  • ร้านค้าปลีกใช้เพื่อตรวจจับพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้า และปรับปรุงการจัดวางสินค้า
  • ระบบเติมสินค้าอัตโนมัติเมื่อสต๊อกหมด

ในภาคเกษตร ใช้ตรวจสอบความสุกของผลผลิต ตรวจสุขภาพของสัตว์ในฟาร์ม หรือบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกแบบแม่นยำ

อนาคตของ Computer Vision

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคที่ข้อมูลภาพและวิดีโอกลายเป็นทรัพยากรสำคัญ  Computer Vision AI  กำลังก้าวข้ามจากแค่ “เครื่องมือวิเคราะห์ภาพ” ไปสู่การเป็น “สมองดิจิทัล” ที่ช่วยตัดสินใจแทนมนุษย์ในหลากหลายมิติ แนวโน้มในอนาคตที่น่าจับตามีดังนี้

การรวม AI กับ Edge Computing

ในอนาคตอันใกล้ Computer Vision AI  จะไม่จำเป็นต้องพึ่งการประมวลผลผ่านคลาวด์เสมอไป ด้วยการพัฒนา Edge AI หรือการวิเคราะห์ข้อมูลที่ปลายทาง ทำให้ระบบสามารถตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์หลัก ตัวอย่างการใช้งาน เช่น

  • กล้องวงจรปิดอัจฉริยะใน Smart City ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุการณ์ผิดปกติทันที
  • ระบบรถยนต์ไร้คนขับที่ตัดสินใจเองได้ในระดับเสี้ยววินาที

Augmented Reality (AR) และ Metaverse

Computer Vision AI  จะเป็นหัวใจสำคัญของ AR และโลกเสมือนจริง (Metaverse) โดยทำหน้าที่เชื่อมโยงโลกจริงกับโลกดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ เช่น

  • AR Shopping ตรวจจับขนาดใบหน้าเพื่อทดลองใส่แว่นหรือเครื่องประดับเสมือนจริง
  • เทคโนโลยี Motion Capture ด้วยกล้องสมาร์ตโฟน เพื่อสร้าง Avatar ในโลก Metaverse
  • การเรียนรู้ในห้องเรียนเสมือนจริงที่ตรวจจับอารมณ์และปฏิกิริยาของผู้เรียน

Multimodal AI: ผสานการมองเห็น เข้ากับ การเข้าใจภาษา

อนาคตของ  Computer Vision AI  จะไม่แยกตัวจากเทคโนโลยีอื่น เช่น NLP (Natural Language Processing) หรือ LLM (Large Language Models) ระบบจะสามารถ

  • วิเคราะห์ภาพพร้อมคำบรรยาย เช่น AI อธิบายภาพทางการแพทย์
  • เข้าใจสถานการณ์จากทั้งภาพ เสียง และข้อความ
  • เป็นผู้ช่วย AI แบบ Visual Assistant ที่ไม่ใช่แค่พูดได้ แต่ยังมองเห็นและเข้าใจโลกได้เหมือนมนุษย์

ความเป็นส่วนตัวและการใช้อย่างมีจริยธรรม

เมื่อการรู้จำใบหน้าและพฤติกรรมถูกนำมาใช้มากขึ้น ก็ต้องมีการวางกรอบเรื่อง จริยธรรม ความโปร่งใส และความปลอดภัยของข้อมูล มากขึ้นเช่นกัน

  • การใช้เทคโนโลยีเพื่อสอดส่องจะถูกควบคุมภายใต้กฎหมาย เช่น GDPR หรือกฎหมาย PDPA ในประเทศไทย
  • การออกแบบระบบให้มีความเป็น “Explainable AI” ที่สามารถอธิบายได้ว่าตัดสินใจจากอะไร

 การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 5.0

Computer Vision AI  จะกลายเป็นเครื่องมือหลักในยุคอุตสาหกรรม 5.0 ที่เน้นความร่วมมือระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ เช่น

  • หุ่นยนต์ร่วมงาน (Cobot) ที่ใช้กล้องในการรับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัว
  • ระบบสายพานผลิตที่สามารถแยกชิ้นส่วนงานเสียได้เองโดยอัตโนมัติ
  • ผู้ช่วยด้านสุขภาพที่ตรวจจับท่าทางหรืออารมณ์ของผู้สูงอายุเพื่อช่วยเหลือทันที

หากองค์กรของคุณกำลังมองหาแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะในด้าน Computer Vision เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ SOLUTIONS IMPACT พร้อมให้คำปรึกษาและจัดฝึกอบรมแบบลงมือปฏิบัติจริง เพื่อให้คุณสามารถนำ AI ไปใช้ในองค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรม

สนใจเข้าร่วมอบรมหรือปรึกษาแนวทางการใช้ AI กับเราได้ที่ SOLUTIONS IMPACT  หรือ LINE 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Computer Vision AI

Computer Vision ทำอะไรได้บ้าง

Computer Vision ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถรับรู้และวิเคราะห์ข้อมูลภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำสิ่งต่างๆ ดังนี้:

– การแยกส่วนของภาพ (Image Segmentation): แยกส่วนของภาพออกเป็นส่วนๆ เพื่อวิเคราะห์รายละเอียดที่สำคัญ เช่น การแยกพื้นถนนจากเส้นเลนในยานยนต์ไร้คนขับ ​

– การจัดกลุ่มภาพ (Image Classification): จัดกลุ่มภาพออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น ต้นไม้ อาคาร รถยนต์ เพื่อการจำแนกประเภท ​

– การจับคู่คุณลักษณะ (Feature Matching): จับคู่จุดสนใจของรูปภาพสองรูป เช่น

– การจดจำใบหน้า โดยการตรวจจับลักษณะเด่นของใบหน้า ​

– การตรวจหาวัตถุ (Object Detection): ตรวจจับวัตถุที่อยู่ในภาพ เช่น การตรวจจับความหนาแน่นของยานพาหนะบนท้องถนน ​

– การจดจำใบหน้า (Facial Recognition): จดจำใบหน้าของบุคคล เช่น การสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกอุปกรณ์หรือระบบรักษาความปลอดภัย ​

– การตรวจหาขอบเขต (Edge Detection): หาขอบเขตของภาพเพื่อทำให้ขอบเขตของภาพเด่นชัดขึ้น เช่น การตรวจหาวัตถุต้องสงสัย ​

– การระบุรูปแบบ (Pattern Detection): ระบุวัตถุจากรูปทรง รูปแบบ หรือสี เช่น การสแกนลายนิ้วมือ

AI ประมวลผลภาพคืออะไร

AI ประมวลผลภาพหมายถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์และตีความข้อมูลภาพ เช่น รูปภาพนิ่งหรือวิดีโอ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อข้อมูลภาพได้อย่างชาญฉลาดและแม่นยำ

AI Vision คืออะไร

AI Vision คือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการรับรู้และวิเคราะห์ข้อมูลภาพ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาพได้ เช่น การจดจำวัตถุ การตรวจจับใบหน้า หรือการแยกส่วนของภาพ

คอมพิวเตอร์วิทัศน์มีหน้าที่อะไรบ้าง

คอมพิวเตอร์วิทัศน์มีหน้าที่ในการ

– รับรู้และวิเคราะห์ข้อมูลภาพ เช่น รูปภาพนิ่งหรือวิดีโอ​

– แยกแยะวัตถุและคุณลักษณะต่างๆ ในภาพ​

– ตีความหมายของภาพเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาพได้
อย่างมีประสิทธิภาพ​

– นำผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ภาพไปใช้ในแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น การแพทย์ การรักษาความปลอดภัย หรือการขับเคลื่อนยานยนต์ไร้คนขับ ​