ในปัจจุบันนี้ “หุ่นยนต์” เป็นเครื่องมือสำคัญที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นทั้งในด้านการผลิตในโรงงานหรือธุรกิจขนาดกลางที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หุ่นยนต์ที่กำลังมาแรงและได้รับความสนใจเนื่องจากความสามารถในการทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยและยืดหยุ่นคือ Cobots หรือ “Collaborative Robot” แล้ว Cobot คืออะไร แตกต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไปแบบไหน และนำมาใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบ

Cobots หรือ Collaborative Robot คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร

ในยุคที่อุตสาหกรรมกำลังก้าวเข้าสู่ Industry 5.0 การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไปด้วยการพัฒนาหุ่นยนต์ที่เรียกว่า Cobots

Cobots คืออะไร

Cobot ย่อมาจาก Collaborative Robot หมายถึง หุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ต่างจากหุ่นยนต์อุตสาหกรรมทั่วไปที่มักทำงานแยกจากมนุษย์ Cobotsคือหุ่นยนต์ที่วางไว้ในสายการผลิตเดียวกันเพื่อเสริมศักยภาพการทำงาน ลดความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิผลในการผลิต Cobot Robot มักมาในรูปแบบของแขนกลอัจฉริยะที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และสามารถใช้งานบนโต๊ะทำงานหรือสายการผลิตขนาดเล็กได้ หุ่นยนต์ลักษณะนี้บางครั้งเรียกว่า “Desktop Robot Arm” เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานประกอบชิ้นส่วน การหยิบจับ วัดผล ตรวจสอบคุณภาพ หรือการบรรจุสินค้า

Cobot ราคาในตลาดปัจจุบัน

Cobot ราคามีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาด น้ำหนัก ระยะการเคลื่อนไหว รวมถึงความสามารถพิเศษ เช่น ระบบเซนเซอร์ความปลอดภัย หรือระบบ AI ที่ฝังมาในตัวเครื่อง โดยในปัจจุบัน Cobots ราคาเริ่มต้นมีตั้งแต่หลักแสนบาทไปจนถึงหลักล้านบาท 

Cobots มีกี่ประเภท

Cobots เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่างๆ  Cobots ที่มีการพัฒนาตามความต้องการในอุตสาหกรรมสมัยใหม่มีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่

1. Power and Force Limiting Cobots

Cobots ประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์โดยตรง โดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมสำหรับความปลอดภัย มีฟีเจอร์การตรวจจับความแรงที่หลากหลาย เช่น การตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ข้อ (Joint Sensing) การตรวจจับแรงที่เกิดขึ้นกับผิวสัมผัส (Skin Sensing) การตรวจจับแรงบิด (Force sensor base) และคุณสมบัติที่สามารถหยุดการทำงานได้ทันทีเมื่อมีความเสี่ยง (Inherently Safe) ช่วยให้การทำงานร่วมกับมนุษย์เป็นไปได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

2. Hand Guiding

หุ่นยนต์ประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการเคลื่อนที่ด้วยมือ ผู้ใช้สามารถสั่งการหรือใช้มือในการควบคุม Cobots เพื่อให้มันอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการผ่านฟีเจอร์ที่เรียกว่า Hand Guiding ทำให้การใช้งานง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม ช่วยลดเวลาในการทำงานและสามารถปรับใช้งานได้อย่างหลากหลายตามความต้องการ

3. Safety Monitored Stop

สำหรับ Cobots ประเภทนี้มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย เนื่องจากมีระบบเซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับการเข้าใกล้ของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตในขณะทำงาน หากมีสิ่งใดเข้าใกล้หุ่นยนต์ ระบบจะหยุดการทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ เมื่อสิ่งที่เข้ามาใกล้หายไปจากบริเวณนั้น หุ่นยนต์ก็จะกลับไปทำงานอีกครั้ง

4. Speed and Separation

หุ่นยนต์ประเภทนี้ได้รับการพัฒนาจากหุ่นยนต์อุตสาหกรรม โดยเพิ่มเทคโนโลยีการมองเห็น (Vision System) ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตโดยรอบ หากมีการเข้าใกล้หุ่นยนต์ ระบบจะทำการลดความเร็วการทำงานโดยอัตโนมัติ และหากเข้าใกล้มากเกินไป หุ่นยนต์จะหยุดการเคลื่อนไหวทันที การออกแบบนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานในพื้นที่ที่มีคนทำงานร่วมกับหุ่นยนต์

4 ความแตกต่างระหว่าง หุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม กับ Cobots

หุ่นยนต์อุตสาหกรรมถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่ถูกใช้งานมาอย่างยาวนานในโรงงานต่างๆ อย่างไรก็ตามการเข้ามาของ Cobots หรือหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงาน ได้เปลี่ยนแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร โดยความแตกต่างระหว่างหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมกับ Cobots มีดังนี้

1. การทำงานร่วมกับพนักงาน

ในยุคที่เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรม หุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมยังคงทำหน้าที่เป็นกำลังหลักในสายการผลิตอัตโนมัติ โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง หุ่นยนต์เหล่านี้มักถูกติดตั้งในสายการประกอบเพื่อยก ย้าย หรือเชื่อมชิ้นส่วนขนาดใหญ่ เช่น แขนกลที่ใช้เชื่อมโลหะหรือประกอบโครงสร้าง ด้วยความเร็ว ความแม่นยำ และมีความเสถียร ช่วยลดภาระของมนุษย์ในงานที่มีความเสี่ยงหรือซ้ำซาก ลดอุบัติเหตุจากการยกของหนักหรือการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ส่วน Cobots ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างใกล้ชิด Cobots ช่วยลดภาระงานหนักและอันตราย สนับสนุนงานที่จำเป็นต้องใช้ทักษะ เช่น การจัดวางสายไฟภายในเครื่องใช้ไฟฟ้า งานประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรืองานบรรจุภัณฑ์ที่ต้องใช้ความประณีต การประสานงานระหว่าง Cobots และแรงงานมนุษย์ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น องค์กรสามารถเพิ่มผลผลิต ลดข้อผิดพลาด และยกระดับคุณภาพโดยรวมของสินค้าในปัจจุบัน Cobots ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ AI เพื่อเรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงานและปรับปรุงกระบวนการแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการผลิตยุคอุตสาหกรรม 5.0 ที่เน้น “ความร่วมมือระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร” มากกว่าการทดแทนกัน

2. ความสามารถในการเคลื่อนย้ายและยืดหยุ่นการทำงาน

หุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมมักมีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก และติดตั้งถาวร ทำให้การเคลื่อนย้ายหรือปรับเปลี่ยนตำแหน่งทำได้ยาก อีกทั้งยังมีข้อจำกัดด้านความยืดหยุ่นในการทำงาน หากต้องการปรับเปลี่ยนฟังก์ชันหรือรูปแบบการใช้งาน ต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ Cobots มีการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา สามารถติดตั้งได้ง่ายบนโต๊ะทำงาน ผนัง หรือแม้แต่บนรางเลื่อน ทำให้สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายและใช้งานในพื้นที่จำกัด Cobots ยังสามารถปรับเปลี่ยนเครื่องมือต่อพ่วง (end-effector) ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหัวจับ (gripper), หัวขันสกรู, ดอกสว่าน หรือหัวดูดสุญญากาศ ซึ่งตอบโจทย์งานหลากหลายประเภท ตั้งแต่การประกอบชิ้นส่วน การบรรจุสินค้า ไปจนถึงงานตรวจสอบคุณภาพ Cobots ยุคใหม่ยังมาพร้อมกับระบบ AI และ Machine Learning ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ตามความต้องการ ทำให้สามารถนำไปปรับใช้กับหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม หรือแม้แต่ในงานวิจัยและการศึกษา 

3. โปรแกรมการทำงาน

หุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมมักมีลักษณะการทำงานที่ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัวเป็นลำดับขั้นตอน (Rule-based) แม้การใช้งานจะมีประสิทธิภาพในด้านความแม่นยำและความเร็ว แต่กลับขาดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ส่งผลให้การเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์เหล่านี้ต้องเรียนรู้ระบบจากเจ้าของผลิตภัณฑ์เท่านั้น ทำให้เกิดภาระต่อผู้ใช้งานในการฝึกฝนและทำความเข้าใจระบบใหม่ๆ ส่วน Cobots ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น Cobots  รุ่นใหม่มักมาพร้อมซอฟต์แวร์ที่มีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย รองรับการลากวาง (Drag-and-Drop) หรือโปรแกรมผ่านการสาธิต ซึ่งช่วยให้สามารถกำหนดเส้นทางการเคลื่อนไหว กำหนดจังหวะการทำงาน หรือการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ได้ นอกจากนี้เทคโนโลยี AI ยังช่วยให้ Cobots ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย เช่น การตรวจจับสิ่งกีดขวาง การปรับแรงกดตามลักษณะชิ้นงาน และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานตามข้อมูลที่ได้รับในแต่ละสถานการณ์

4. รูปแบบการใช้งาน

หุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมมีความแม่นยำและประสิทธิภาพสำหรับงานปริมาณมาก ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานในสายการผลิตที่ต้องการความรวดเร็ว แม่นยำ และต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโรงงานขนาดใหญ่ที่ต้องผลิตสินค้าในปริมาณมากภายในเวลาจำกัด หุ่นยนต์ประเภทนี้สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์มากนัก และเหมาะกับงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การเชื่อม การตัด หรือการยกของหนัก ซึ่งช่วยลดอุบัติเหตุในโรงงานได้ ส่วน Cobots เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง หรือในสายการผลิตเฉพาะทางขององค์กรขนาดใหญ่ แม้ Cobots จะยังไม่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติ 100% เหมือนหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม แต่ข้อดีของ Cobot คือความยืดหยุ่นในการใช้งาน ปลอดภัยต่อแรงงาน และเหมาะกับงานที่ต้องการความละเอียด ความประณีต หรือการตัดสินใจร่วมจากมนุษย์ เช่น งานประกอบชิ้นส่วนขนาดเล็ก การตรวจสอบคุณภาพ หรือการบรรจุสินค้าแบบเฉพาะเจาะจง แม้ว่าการใช้งานหุ่นยนต์จะขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกใช้งานคือ ลักษณะของงานที่ต้องการ  การประเมินความเหมาะสมการใช้งานหุ่นยนต์แต่ละประเภทกับกระบวนการผลิตจะช่วยให้องค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

 ประโยชน์จากการใช้ Cobot ในการทำธุรกิจมีอะไรบ้าง?

 Cobots ช่วยสร้างประโยชน์ให้ธุรกิจได้ในหลายด้าน เช่น

1. ประหยัดเวลา

การใช้  Cobots เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูง  Cobots รุ่นใหม่ถูกออกแบบมาให้สามารถติดตั้งโปรแกรมได้ง่ายผ่านซอฟต์แวร์แบบ Low-code หรือ No-code ที่มาพร้อมอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้ แม้ไม่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมก็สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ในเวลาอันรวดเร็ว Cobots ยังมีความสามารถในการเรียนรู้การทำงานรูปแบบใหม่ (machine learning-based adaptation) ซึ่งช่วยให้สามารถจดจำและประยุกต์การทำงานในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาการตั้งค่าและเพิ่มความแม่นยำในการทำงานได้ จึงช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความคล่องตัวให้กับสายการผลิตในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่การประกอบชิ้นส่วน ไปจนถึงงานตรวจสอบคุณภาพ ทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วกว่าเดิม

2. มีความแม่นยำสูง

การทำงานในสายการผลิตหรืองานที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง ไม่สามารถพึ่งพาเพียงแรงงานมนุษย์ได้เสมอไปเนื่องจากข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ความเหนื่อยล้า ความเครียดจากการทำงาน ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดพลาด โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความละเอียดอ่อน เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยา หรือยานยนต์  Cobots จึงเข้ามาเพื่อช่วยแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ ด้วยการทำงานที่สามารถควบคุมได้อย่างแม่นยำผ่านระบบอัตโนมัติ สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย มีความคงที่ในการทำงาน และไม่เหนื่อยล้าแม้ต้องทำงานต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง จึงได้คุณภาพของงานที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงจากความผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต  Cobots ยังมีการพัฒนาให้สามารถเรียนรู้และปรับตัวกับงานที่หลากหลายได้มากขึ้น จึงช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับกระบวนการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะทางโดยไม่ต้องเสียเวลาในการฝึกอบรมแรงงานซ้ำ ๆ

3. ใช้งานได้หลากหลาย

Cobots ถูกออกแบบมาให้สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการเคลื่อนไหวของมนุษย์โดยไม่ถูกจำกัดพื้นที่การทำงานมากนักและทำงานได้หลากหลาย Cobots  สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ครั้งเดียวแล้วใช้งานได้ทันที ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องติดตั้งหรือปรับแต่งซอฟต์แวร์ซ้ำหลายๆ ครั้ง ลดความยุ่งยากในการตั้งค่าและทำให้การใช้งานง่ายขึ้น นอกจากนี้ Cobots ยังสามารถเรียนรู้กระบวนการใหม่ๆ ได้ ทำให้สามารถปรับตัวได้อย่างต่อเนื่องกับการทำงานที่มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งช่วยให้การทำงานมีความคล่องตัวสูงและสามารถตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว Cobots ยังมีขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ ได้สะดวก ใช้งานได้ง่ายในพื้นที่จำกัด เช่น โรงงานหรือพื้นที่การผลิตที่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดพื้นที่ ทำให้ Cobots  เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นและสามารถนำไปใช้ในงานได้หลายลักษณะ 

4. เพิ่มความปลอดภัย

Cobots ได้รับการพัฒนาโดยมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิผลสูงสุด ขนาดของ Cobots มีความกะทัดรัดและไม่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ในการติดตั้งเหมือนหุ่นยนต์อุตสาหกรรมทั่วไป จึงสามารถเคลื่อนย้ายไปยังจุดต่างๆ ภายในพื้นที่ทำงานได้ง่ายและสะดวก ส่งผลให้การจัดการพื้นที่และการใช้งานให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในแต่ละวันทำได้ง่ายขึ้น Cobots ถูกออกแบบให้มีระบบป้องกันการชนหรือการกระทบ ช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บในการทำงานร่วมกันระหว่างหุ่นยนต์และมนุษย์ Cobots จึงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการดำเนินงานในอุตสาหกรรมที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง โดยไม่ต้องลงทุนในเทคโนโลยีที่มีราคาแพงหรือต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ในการติดตั้ง

5. เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ Cobots ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต ช่วยให้ทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ให้ผลผลิตมากขึ้น และช่วยควบคุมต้นทุนการผลิต ทำให้กระบวนการผลิตมีความคล่องตัว สามารถปรับตัวตามความต้องการในตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

การนำ Cobots มาใช้งานช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของพนักงาน ลดการทำงานซ้ำๆ ที่ไม่สร้างมูลค่า ดังนั้น การลงทุนใน Cobots  จึงไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มกำลังการผลิต แต่ยังสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าการนำเอาเทคโนโลยี เช่น Cobots  มาให้ทำงานร่วมกับมนุษย์ก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ช่วยให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว มากยิ่งขึ้น SOLUTIONS IMPACT พร้อมพาองค์กรของคุณเข้าสู่โลกของ Cobots  อย่างมั่นใจ ด้วยหลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ ที่เน้นทั้งทฤษฎีและการใช้งานจริง เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการยกระดับทักษะแรงงานและเตรียมพร้อมสู่ยุคอุตสาหกรรม 5.0

สนใจอบรมเทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาปรึกษาเราก่อนได้ที่ SOLUTIONS IMPACT  หรือ LINE 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Cobots คือ

Cobots กับ robot ต่างกันอย่างไร

Cobots  (Collaborative Robot) คือหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย
Robot ทั่วไป มักต้องแยกพื้นที่ทำงาน เพราะทำงานด้วยความเร็วและแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์
สรุป : Cobot เน้น “ทำงานร่วมกับคน” / Robot ทั่วไปเน้น “ทำงานแทนคน”

Cobot คืออะไร และมีหน้าที่อะไร

Cobots คือหุ่นยนต์อัจฉริยะที่ออกแบบให้ทำงานร่วมกับมนุษย์แบบใกล้ชิด ใช้งานง่าย ยืดหยุ่น ปลอดภัย ไม่ต้องเขียนโปรแกรมซับซ้อน มีหน้าที่หลัก ได้แก่ ช่วยงานประกอบชิ้นส่วน, ตรวจสอบคุณภาพ, บรรจุหีบห่อ, ยกของ, เชื่อมต่อระบบอัตโนมัติ ฯลฯ

โรบอทมีกี่ประเภท

Cobots  ที่มีการพัฒนาตามความต้องการในอุตสาหกรรมสมัยใหม่มีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่

1. Power and Force Limiting cobots

2. Hand guiding

3. Safety monitored stop

4. Speed and separation