การค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ผู้ใช้งานต้องพิมพ์คีย์เวิร์ดและเลือกผลลัพธ์ด้วยตนเอง ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยี AI Search ได้เข้ามาช่วยยกระดับประสบการณ์การค้นหาให้ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น และตอบโจทย์เฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น สามารถวิเคราะห์บริบทและโต้ตอบแบบสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ “AI Search” เทคโนโลยีการค้นหาอัจฉริยะที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปี 2025
AI Search คืออะไร?
AI Search คือระบบการค้นหาข้อมูลที่นำเอาเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์และตีความคำค้นหาให้มีความแม่นยำและตรงกับเจตนาของผู้ใช้งานมากขึ้นโดยอาศัยเทคนิคขั้นสูงอย่างการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP), การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการวิเคราะห์บริบท เพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่ผู้ใช้งานกำลังมองหาอย่างแท้จริง และแสดงผลลัพธ์ได้สอดคล้องและตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคลได้ดียิ่งขึ้น AI Search Engine ยังเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งานตลอดเวลา ทำให้สามารถปรับปรุงผลลัพธ์ให้แม่นยำมากขึ้นในทุกครั้งที่มีการใช้งาน
AI Search ทำงานอย่างไร?
AI Search Engine ได้นำเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการปรับปรุงระบบค้นหาข้อมูลให้เข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยผสานเทคนิคต่างๆ ดังนี้
การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing – NLP)
Natural Language Processing (NLP) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและตีความภาษามนุษย์ได้ ทำให้ระบบ AI Search เข้าใจคำค้นหาของผู้ใช้งานและสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
การเรียนรู้จากพฤติกรรมผู้ใช้ (Personalized Search)
Personalized Search คือการปรับแต่งผลลัพธ์การค้นหาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยอิงจากพฤติกรรมและความสนใจของผู้ใช้งานแต่ละราย ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการและมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น
การจัดอันดับผลลัพธ์แบบใหม่ (AI Ranking & Reasoning)
AI ใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อวิเคราะห์และประเมินความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับคำค้นหาเพื่อจัดอันดับผลลัพธ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด
AI Search กับ SEO: เปลี่ยนกติกาการทำอันดับอย่างไร?

AI Search เปลี่ยนกติกาการทำ SEO อย่างสิ้นเชิงทั้งในด้านเทคนิค การเขียนเนื้อหา และประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (UX) ดังนี้
- คำค้นหาเปลี่ยนจาก “คีย์เวิร์ด” เป็น “เจตนา” (Search Intent)
จากเดิมการทำ SEO จะเน้นการใส่คีย์เวิร์ดให้ครบถ้วน แต่ AI Search จะใช้ NLP เพื่อวิเคราะห์ความหมายที่แท้จริงของคำค้นหา ดังนั้น SEO จึงต้องปรับการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบคำถามในเชิงลึกขึ้น
- AI จัดอันดับจากคุณค่าของเนื้อหา ไม่ใช่แค่ Backlink
AI Ranking ให้ความสำคัญในการวิเคราะห์คุณภาพของข้อมูลมากกว่าจำนวนลิงก์หรือความยาวของบทความ SEO ยุคใหม่จึงควรเน้นในเรื่อง E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trust)
- AI Overview
ระบบ AI Overview ของ Google จะสรุปคำตอบสั้นๆ ไว้ด้านบน SERP ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเห็นคำตอบได้ทันทีโดยไม่คลิกเข้าเว็บไซต์ SEO จึงต้องปรับ Structured Data และเขียนคอนเทนต์ให้มีความแตกต่าง
- Personalized Search
AI Search Engines จะปรับผลลัพธ์การค้นหาเฉพาะบุคคล เช่น ประวัติการค้นหา ความสนใจ จึงทำให้อันดับ SEO อาจจะไม่ได้เหมาะสมสำหรับทุกคน SEO ยุคใหม่จึงต้องสร้างสรรค์เนื้อหาหลายรูปแบบ ใส่ Meta Data อย่างเหมาะสม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในทุกมิติ
- สร้างคอนเทนต์ที่ช่วยให้ AI เข้าใจ
AI Search ต้องการบริบทในการเข้าใจและเลือกว่าเนื้อหาใดเหมาะสมที่สุด ดังนั้นเพื่อช่วยให้ AI รู้ว่าเนื้อหานั้นมีคุณค่า SEO ยุคใหม่จึงควรให้ความสำคัญในการสร้างโครงสร้างเนื้อหาที่ชัดเจน ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดคีย์เวิร์ด มีภาพประกอบ อินโฟกราฟิก หรือวิดีโอ ที่ช่วยขยายความเนื้อหา
AI Search Engine มีอะไรบ้าง และตัวอย่างการใช้งาน AI Search ในชีวิตจริง
AI Search Engines มีอะไรบ้างที่กำลังได้รับความนิยมและใช้งานได้ง่าย
- Bing AI
Bing ได้พัฒนา Copilot Search ที่ใช้เทคโนโลยี Generative AI ในการค้นหาและให้คำตอบที่สรุปจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้พร้อมลิงก์อ้างอิงและแนะนำหัวข้อที่เกี่ยวข้อง สามารถค้นหาข้อมูลจากภาพถ่ายได้ มีระบบช่วยกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและไม่ตรงความต้องการ
- Google AI Search
AI Search Google ใช้ AI ขั้นสูงในการตีความและประมวลผลคำค้นหาที่มีโครงสร้างซับซ้อนและมีหลายความหมายได้ รองรับการค้นหาด้วยเสียงผ่าน Google Assistant ใช้โมเดล Gemini AI เพื่อเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์และสร้างคำตอบแบบเชิงลึก มีฟีเจอร์ AI Overviews ช่วยสรุปข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูลให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจเนื้อหาได้รวดเร็วโดยไม่ต้องคลิกหลายลิงก์
- You.com
You.com เป็น AI Search Engines ที่มุ่งเน้นการค้นหาที่เป็นส่วนตัว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด มีโหมด AI ที่หลากหลาย เช่น Smart Mode สำหรับการค้นหาทั่วไป Genius Mode สำหรับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ไม่ติดตามพฤติกรรมการใช้งานหรือแสดงโฆษณาแบบเจาะจง และมีโหมดการค้นหาที่ไม่บันทึกประวัติ
- ChatGPT Search by OpenAI
ChatGPT Search คือฟีเจอร์การค้นหาจาก OpenAI สามารถวิเคราะห์ สรุปความรู้ ให้คำตอบที่ชัดเจน เข้าใจง่าย มีลิงก์อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ สามารถค้นหาข้อมูลได้หลากหลาย สื่อสารด้วยภาษาธรรมชาติใกล้เคียงมนุษย์
- Kagi Search Engine
Kagi เป็น AI Search Engine ที่ให้บริการแบบสมัครสมาชิก เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและต้องการผลการค้นหาที่มีคุณภาพสูง Kagi ไม่แสดงโฆษณาและไม่ติดตามพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้งาน รองรับการค้นหาภาพและวิดีโอ
- Perplexity AI
Perplexity AI เป็น AI Search ที่ตอบคำถามแบบเรียลไทม์ ด้วยการเข้าถึงฐานข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือพร้อมแสดงแหล่งอ้างอิง รองรับการค้นหาเชิงลึก (Deep Search) เหมาะสำหรับการทำรายงาน วิทยานิพนธ์ และการเรียนรู้เชิงลึก สร้างเนื้อหาได้หลากหลายรูปแบบ
ข้อดีของ AI Search มีอะไรบ้าง

ปัจจุบัน AI Search ถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายและได้รับความนิยม เนื่องมาจากมีข้อดีหลายประการ ดังนี้
- เข้าใจเจตนาของผู้ใช้ (Search Intent) ได้ลึกซึ้งกว่าเดิม
AI Search ไม่ได้มองแค่คำค้นหา (keyword) แบบตรงตัว แต่ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ในการวิเคราะห์ว่าความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งานคืออะไรแล้วแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
- สรุปคำตอบจากหลายแหล่งข้อมูล (AI-Generated Summaries)
ระบบ AI Search สมัยใหม่ จะใช้ AI สร้างคำตอบที่สรุปข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้งานกดเข้าไปดูเองทุกเว็บ และมุ่งเน้นการค้นหาแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ
- ปรับผลลัพธ์ตามบริบทของผู้ใช้ (Personalization)
AI สามารถใช้ข้อมูลเชิงพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เช่น ประวัติการค้นหา ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ เวลาในการค้นหา ภาษาที่ใช้ เพื่อแสดงผลการค้นหาที่เหมาะสมเฉพาะรายบุคคลมากยิ่งขึ้น
- รองรับคำค้นหาที่ยาวและซับซ้อน (Long-tail & Complex Queries)
AI Search เข้าใจคำค้นแบบประโยคยาวๆ และคำถามเฉพาะทางได้ดี AI สามารถตีความและแยกเงื่อนไขต่างๆ ภายในประโยค และให้ผลลัพธ์ที่ตรงความต้องการที่สุด
- รองรับการค้นหาด้วยเสียงและการพูดคุย (Voice & Chat Search)
AI Search คือหัวใจหลักของระบบค้นหาด้วยเสียง เช่น Google Assistant, Siri, Alexa ผู้ใช้สามารถค้นหาด้วยการใช้เสียง และ AI สามารถเข้าใจและตอบกลับได้แม่นยำ
เทรนด์ AI Search ในปี 2025
แนวโน้มสำคัญของ AI Search ในปี 2025 มีดังนี้
- AI Mode และ AI Overviews ของ Google
Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ AI Mode และ AI Overviews ซึ่งใช้โมเดล AI อย่าง Gemini เพื่อสร้างคำตอบที่สังเคราะห์ข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ แบบเรียลไทม์ และแสดงข้อมูลทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ด้วยตัวเอง
- การเพิ่มขึ้นของการค้นหาด้วยเสียงและการสนทนา
การค้นหาด้วยเสียงและการสนทนาได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้นักการตลาดและธุรกิจต่างๆ ต้องปรับกลยุทธ์ SEO เพื่อรองรับคำค้นหาที่เป็นธรรมชาติและเป็นประโยคที่ยาวขึ้น
- การค้นหาด้วยภาพและวิดีโอ (Visual Search)
AI Search Image และวิดีโอ ได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและไลฟ์สไตล์ ทำให้ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหาประเภทภาพและวิดีโอมากยิ่งขึ้น
- การเพิ่มขึ้นของการค้นหาแบบไม่มีการคลิก (Zero-Click Searches)
การค้นหาที่ผู้ใช้ได้รับคำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ (Zero-Click Searches) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงต้องให้ความสำคัญกับการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับ Featured Snippets และ Rich Results
- การเพิ่มความสำคัญของ E-E-A-T
AI Search ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีคุณภาพ โดยเน้นที่ประสบการณ์ (Experience) ความเชี่ยวชาญ (Expertise) ความน่าเชื่อถือ (Authoritativeness) และความไว้วางใจ (Trustworthiness) จึงจำเป็นต้องสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ
จะเห็นได้ว่า AI Search คือการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้กับระบบการค้นหาข้อมูล เพื่อให้สามารถเข้าใจบริบท ความต้องการ และพฤติกรรมของผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้ง ต่างจาก Search Engine แบบเดิมที่เน้นการจับคีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว AI Search สามารถประมวลผลคำถามที่มีความซับซ้อน วิเคราะห์ความหมายในเชิงบริบท และแนะนำผลลัพธ์ที่ตรงความต้องการได้อย่างแม่นยำ
เพื่อให้องค์กรหรือธุรกิจของคุณพร้อมรับมือกับเทคโนโลยีใหม่นี้ สถาบันฝึกอบรม SOLUTION IMPACT มีหลักสูตร AI DATA ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจยุคใหม่ ตั้งแต่การเรียนรู้พื้นฐานและแนวคิดเบื้องหลัง AI Search จนถึงฝึกปฏิบัติการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์ม AI Search ที่ทันสมัย และการนำไปปรับใช้กับองค์กร หากต้องการข้อมูลหลักสูตรสามารถสอบถามได้ที่ SOLUTIONS IMPACT
คำถามที่พบได้บ่อย เกี่ยวกับ AI Search
AI Search ต่างจาก Google Search ปกติอย่างไร?
– Google Search แบบปกติ ใช้การจับคู่คำค้นหากับหน้าเว็บที่เกี่ยวข้อง โดยจัดอันดับผลลัพธ์ตามอัลกอริทึม SEO และลิงก์ต่างๆ
– AI Search เช่น ChatGPT, Perplexity, Gemini ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เพื่อสรุปคำตอบโดยตรงจากหลายแหล่ง โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใช้คลิกเข้าไปอ่านทีละเว็บไซต์
AI Search มีข้อดีอะไรบ้าง?
AI Search มีข้อดีโดยสรุปดังนี้
– ได้คำตอบทันที โดยไม่ต้องเปิดหลายเว็บหรือไล่อ่านข้อมูลเอง
– สรุปข้อมูลจากหลายแหล่ง ช่วยลดเวลาในการค้นคว้า
– เข้าใจคำถามซับซ้อนได้ดี เช่น คำถามปลายเปิดหรือการเปรียบเทียบ
– สามารถโต้ตอบบทสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น การถามเพิ่มเติม ต่อยอด หรือขออธิบายใหม่ได้
– ประหยัดเวลา เหมาะกับคนที่ต้องการข้อมูลสั้น กระชับ และสามารถนำมาใช้งานได้เลย
AI Search มีข้อเสียหรือความเสี่ยงอะไรไหม?
การใช้งาน AI Search อาจมีข้อจำกัดที่ควรระวัง ดังนี้
– อาจให้ข้อมูลผิดพลาด หากดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ
– ให้ข้อมูลที่ไม่ทันสมัย โดยเฉพาะหากโมเดลไม่ได้เชื่อมต่อเว็บไซต์แบบเรียลไทม์
– เกิดอคติและลำเอียงจากข้อมูลที่ใช้ฝึกโมเดล
– อาจพบการละเมิดความเป็นส่วนตัว หากผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัวลงไปโดยไม่ตั้งใจ
คนทั่วไปใช้ AI Search ได้อย่างไร?
คนทั่วไปสามารถใช้งาน AI Search ได้อย่างง่ายดายผ่านทางแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ เช่น ChatGPT, Bing Copilot, Gemini , Perplexity AI หากต้องการค้นหาข้อมูลทำได้โดยการพิมพ์คำถามที่ต้องการ เช่น “ช่วยสรุปข้อดีของวิตามิน” “เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่าง iPhone กับ Samsung” “ช่วยสร้างแผนท่องเที่ยวเชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน” เป็นต้น
นักการตลาดควรปรับตัวอย่างไรกับ AI Search?
การเปลี่ยนแปลงของระบบการค้นหาข้อมูล AI Search ทำให้นักการตลาดจำเป็นต้องมีการปรับตัวในหลายด้าน ปรับรูปแบบเนื้อหาให้อ่านได้ง่าย ใช้ structured data และ FAQ Schema เพื่อให้ AI เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้ง่าย เป็นต้น