ปัจจุบันนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี การค้าการลงทุน การแข่งขันทางธุรกิจ องค์กรที่ไม่มีการพัฒนาปรับตัว โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพพนักงาน อย่างทันท่วงทีอาจเกิดปัญหาหลายอย่างตามมา เนื่องจากพนักงานในองค์กรขาดความรู้และทักษะที่จำเป็น การฝึกอบรม จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มพูนทักษะ ความสามารถ ความรู้ของพนักงานในองค์กร ในบทความนี้ Solutions Impact จะพาทุกคนมาดูกันว่า Training คืออะไร การฝึกอบรมมีกี่ประเภท และมีความสำคัญอย่างไรต่อองค์กร
Training คืออะไร ทำไมสำคัญสำหรับองค์กร

การฝึกอบรม (Training) คือ กระบวนการเสริมสร้าง ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ความสามารถในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมรวมทั้งทัศนคติที่ไม่พึงประสงค์ของพนักงาน เพื่อให้พนักงานในองค์กรมีการพัฒนาตนเอง มีคุณภาพและมีสมรรถนะตามที่องค์กรคาดหวัง ซึ่งจะช่วยให้สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายขององค์กรต่อไป
Training มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
เมื่อรู้แล้วว่า Training คืออะไร ต่อมาจะมาทำความเข้าใจว่าการฝึกอบรมมีกี่ประเภท โดยการฝึกอบรมแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทด้วยกัน โดยสามารถจำแนกได้ตามลักษณะดังต่อไปนี้
1. แหล่งของการฝึกอบรม
เป็นการแบ่งประเภทของการฝึกอบรมจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบการฝึกอบรม โดยสามารถแบ่งได้เป็น
1.1 การฝึกอบรมภายในองค์กร (In-house training)
Inhouse Training คือ เป็นการฝึกอบรมที่องค์กรเป็นผู้จัดขึ้น โดยฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะเป็นฝ่ายที่ทำหน้าที่ออกแบบ พัฒนาหลักสูตร จัดทำโครงการอบรม รวมไปถึงการกำหนดตารางเวลาอบรม และเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรมาเป็นผู้ดำเนินการฝึกอบรมประเภท ผู้เข้าร่วมการอบรมทั้งหมดจะเป็นบุคลากรภายในองค์กร การฝึกอบรมภายในองค์กรมีข้อดีตรงที่สามารถกำหนดหลักสูตรให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะการดำเนินงานขององค์กรได้
1.2 การฝึกอบรมภายนอก (Public Training)
เป็นการจ้างให้หน่วยงานฝึกอบรมภายนอกเป็นผู้ดำเนินการจัดอบรมให้ทั้งหมด องค์กรไม่ได้จัดการเอง หรือเป็นการส่งพนักงานออกไปอบรมกับหน่วยงานภายนอกที่ทำการจัดอบรม เป็นการอบรมที่เหมาะกับองค์กรขนาดเล็กที่ไม่มีฝ่ายจัดการอบรมเป็นของตัวเอง หรือไม่มีความเชี่ยวชาญในเนื้อหาของการอบรมนั้นๆ
2. การฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน
เป็นรูปแบบการฝึกอบรมพัฒนาทักษะและความรู้ให้พนักงาน ผ่านการเรียนรู้จากการทำงานจริง เน้นการฝึกฝนลงมือปฏิบัติ ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ทฤษฎีและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ แบ่งออกได้ดังนี้
2.1 การฝึกอบรมระหว่างการปฏิบัติงาน (On the job training)
การฝึกอบรมแบบ On the job training คือ การฝึกอบรมที่มีกระบวนการการฝึกฝนและพัฒนาทักษะที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงานจริง ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้เรียนรู้และปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์การทำงานจริง โดยมีผู้ที่มีประสบการณ์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้นอยู่แล้ว ผู้ทำการฝึกอบรม คอยแนะนำ ควบคุม ดูแล เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการปฏิบัติงานในสถานการณ์จริง การอบรมประเภทนี้มีข้อดีคือ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้และปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมจริง ทำให้สามารถพัฒนาทักษะและเพิ่มพูนความเข้าใจ เรียนรู้การทำงานได้อย่ารวดเร็ว สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า และมีโอกาสในการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในสายงานนั้น ๆ โดยตัวอย่าง หัวข้อการฝึกอบรมพนักงานประเภทนี้ ได้แก่ หลักสูตร Leadership Skill หลักสูตร Critical Thinking เป็นต้น
2.2 การฝึกอบรมนอกเวลาปฏิบัติงาน (Off the job training)
Off the job training คือ การฝึกอบรมที่เน้นการฝึกทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานแต่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ทำงานจริง การอบรมนี้อาจเป็นการเรียนในห้องเรียน การสัมมนา การศึกษาออนไลน์ หรือวิธีการอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการผู้เรียนที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานของตนในขณะเรียนรู้ ผู้เข้าร่วมการอบรมต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อเข้ารับการอบรม จนกว่าการอบรมจะสิ้นสุด
3. การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะ

เป็นการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะของผู้เข้ารับการอบรมในด้านต่างๆ ได้แก่
3.1 การฝึกอบรมทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills Training)
Technical skills training คือ การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานด้านเทคนิค เช่น การซ่อมแซมระบบไฟฟ้า การใช้งานเครื่องมือและเครื่องจักรในอุตสาหกรรมการผลิต เป็นต้น
3.2 การฝึกอบรมทักษะด้านการจัดการ (Managerial Skills Training)
Managerial skills training คือ การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาทักษะทางด้านการจัดการและบริหารงาน เป็นการฝึกอบรมที่เหมาะกับผู้ที่ตำแหน่งเป็นผู้จัดการหรือหัวหน้างานภายในองค์กร
3.3 การฝึกอบรมทักษะด้านการติดต่อสัมพันธ์ (Interpersonal Skills Training)
การฝึกอบรมประเภทนี้มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมมีการพัฒนาทักษะด้านการติดต่อสัมพันธ์ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
4. การฝึกอบรมแบ่งตามเกณฑ์ระดับชั้นของผู้ปฏิบัติงาน
การจัดฝึกอบรมตามระดับชั้นของผู้ปฏิบัติงาน ช่วยให้การพัฒนาทักษะและความรู้ตรงจุด ส่งเสริมศักยภาพของพนักงานแต่ละคน และสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับองค์กร ซึ่งเราสามารถแบ่งได้ดังนี้
4.1 การฝึกอบรมพนักงานระดับปฏิบัติการ (Employee Training)
Employee training คือ การฝึกอบรมพนักงานในระดับปฏิบัติงาน มีเป้าหมายหลักที่จะเพิ่มทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงาน ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และความรับผิดชอบ และสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานในการดำเนินงานของตนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทั้งหมดในระยะยาว
4.2 การฝึกอบรมระดับหัวหน้างาน (Supervisory Training)
Supervisory training คือ การฝึกอบรมสำหรับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งหัวหน้างาน มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้นำหรือผู้บริหาร ในการดำเนินงานและการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารจัดการเวลา การแก้ไขปัญหา การสร้างสรรค์และสร้างสัมพันธภาพในทีม การสื่อสารและการสร้างความเข้าใจในองค์กร การบริหารการเปลี่ยนแปลง ทักษะการให้คำปรึกษาและการแก้ไขปัญหา เป็นการฝึกอบรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ควบคุมหรือผู้บริหารมีความพร้อมในการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพและสามารถสนับสนุนและแนะนำทีมในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.3 การฝึกอบรมระดับผู้จัดการ (Managerial Training)
กลุ่มเป้าหมายของการฝึกอบรมประเภทนี้คือกลุ่มพนักงานระดับผู้จัดการฝ่ายหรือผู้จัดการระดับกลางขององค์กร มุ่งเน้นการฝึกฝนและพัฒนาทักษะ Leadership Development และความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือการเป็นผู้จัดการในองค์กร การพัฒนาทักษะในการบริหาร การดำเนินงาน การตัดสินใจ การวางแผน การกำหนดนโยบาย การจัดการทรัพยากรบุคคล การบริหารการเงิน ทักษะทางด้านการติดต่อสื่อสารตาม
4.4 การฝึกอบรมระดับผู้บริหารขั้นสูง (Executive Training)
การฝึกอบรมประเภทนี้มีกลุ่มเป้าหมายคือผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ผู้อำนวยการฝ่ายต่างๆ คณะกรรมการบริหาร ประธานและรองประธานบริษัท มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะในการบริหารจัดการที่ระดับสูง การวางแผนและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (strategic planning and decision-making) หรือการพัฒนาองค์การ (organizational development การบริหารจัดการความเสี่ยง การนำเสนอและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการคิดวิพากษ์
ทำไมต้องมีการฝึกอบรม ดีต่อองค์กรอย่างไร ทำไมจึงมีความสำคัญ

หลักสูตรการฝึกอบรมพนักงานมีส่วนช่วยให้องค์กรมีการพัฒนาขึ้นได้ เมื่อพนักงานได้รับการพัฒนาทักษะสำคัญในการทำงาน มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่มากยิ่งขึ้น สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าให้กับองค์กร จะช่วยผลักดันให้องค์กรมีการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ โดยความสำคัญของการฝึกอบรมต่อองค์กร มีดังนี้
1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
การฝึกอบรมช่วยพัฒนาทักษะและความรู้ของพนักงานในงานที่ทำอยู่ ทำให้พนักงานสามารถดำเนินงานในความรับผิดชอบของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างดี ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานที่ขาดทักษะ เพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิต
2. การพัฒนาสมรรถนะ
การฝึกอบรมช่วยเสริมสร้างทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างสมรรถนะที่สำคัญในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
3. สร้างทีมงานที่มีความรู้และความชำนาญ
การฝึกอบรมช่วยในการสร้างทีมงานที่มีความรู้และความชำนาญในงาน ทำให้มีทีมงานที่มีความสามารถในการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. เพิ่มความพร้อมในการเผชิญกับภาระงาน
การฝึกอบรมช่วยเตรียมพนักงานให้พร้อมที่จะเผชิญกับภาระงานที่มีความซับซ้อนและท้าทายได้อย่างมีเต็มที่ เมื่อองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่างๆ เช่น ระบบบริหาร ลักษณะงาน การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ยังช่วยให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้าหาการเปลี่ยนแปลงต่างๆได้อย่างทันท่วงที ทำงานตามระบบบริหารและเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
5. สร้างขวัญและกำลังใจให้พนักงานในองค์กร
การฝึกอบรมช่วยสร้างขวัญและกำลังใจ รวมทั้งในการสร้างความพึงพอใจของพนักงานที่ต่อองค์กร เนื่องจากทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองได้รับการพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
6. เพิ่มความเชื่อมั่นในการทำงาน
เมื่อพนักงานมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่อย่างรอบด้าน จะเป็นการช่วยเสริมความเชื่อมั่นของพนักงานในการทำงาน ซึ่งทำให้พวกเขามั่นใจและรู้สึกสบายใจในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับองค์กรที่ต้องการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในองค์กรยุคใหม่ Solutions Impact สถาบันฝึกอบรม เพื่อพัฒนาศักยภาพ พร้อมจะเป็นผู้ช่วยพัฒนาบุคลากรของท่าน เราเป็นสถาบันให้บริการจัดการอบรมด้วยทีมวิทยากรมากความสามารถที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี สามารถออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสมกับธุรกิจขององค์กร ด้วยเทคนิคการอบรมที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมการอบรมนอกเหนือจากการบรรยายทั่วไป ส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ สามารถนำเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานได้จริง จนได้รับการประเมินความพึงพอใจของผู้ที่เคยเข้ารับอบรมในระดับสูง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Training คืออะไร
On the job training คืออะไร
การฝึกอบรมแบบ on the job training คือ การฝึกอบรมที่มีกระบวนการการฝึกฝนและพัฒนาทักษะที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงานจริง ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้เรียนรู้และปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์การทำงานจริง โดยมีผู้ที่มีประสบการณ์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้นอยู่แล้ว ผู้ทำการฝึกอบรม คอยแนะนำ ควบคุม ดูแล เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการปฏิบัติงานในสถานการณ์จริง การอบรมประเภทนี้มีข้อดีคือ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้และปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมจริง ทำให้สามารถพัฒนาทักษะและเพิ่มพูนความเข้าใจ เรียนรู้การทำงานได้อย่ารวดเร็ว สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า และมีโอกาสในการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในสายงานนั้นๆ
การฝึกอบรมหมายถึงอะไร
การฝึกอบรมหมายถึงกระบวนการเสริมสร้าง ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ความสามารถในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมรวมทั้งทัศนคติที่ไม่พึงประสงค์ของพนักงาน เพื่อให้พนักงานในองค์กรมีคุณภาพและมีสมรรถนะตามที่องค์กรคาดหวัง ซึ่งจะช่วยให้สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายขององค์กรต่อไป
In-house training คืออะไร
เป็นการฝึกอบรมที่องค์กรเป็นผู้จัดขึ้น โดยฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะเป็นฝ่ายที่ทำหน้าที่ออกแบบ พัฒนาหลักสูตร จัดทำโครงการอบรม รวมไปถึงการกำหนดตารางเวลาอบรม และเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรมาเป็นผู้ดำเนินการฝึกอบรมประเภท ผู้เข้าร่วมการอบรมทั้งหมดจะเป็นบุคลากรภายในองค์กร การฝึกอบรมภายในองค์กรมีข้อดีตรงที่สามารถกำหนดหลักสูตรให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะการดำเนินงานขององค์กรได้